วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิธีล้างหน้าที่สาวๆ ควรหัดให้ชินเป็นนิสัย


    การทำความสะอาดผิว เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนะคะ เพราะถ้าเราล้างทำความสะอาดหน้า ไม่ดีพอ จะเป็นสาเหตุให้เกิดสิว ฝ้า และจุดด่างดำได้ เราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้าด้วย เช่น คนผิวมัน ควรใช้เจล หรือสบู่ สำหรับคนผิวแห้ง หรือผิวผสม ควรใช้ โลชั่นหรือครีมล้างหน้าค่ะ วิธีการล้างหน้าที่ถูกต้อง มีขั้นตอน ดังนี้นะค่ะ
   เริ่มล้างหน้าก็ต้องเตรียมอุปกรณ์กันก่อน
   ไม่ใช่ว่าแค่น้ำเปล่า หรือโฟมล้างหน้าเท่านั้นจะทำให้หน้าสะอาดได้นะคะ
   ถ้าใครแต่งหน้า หรือแค่มีครีมกันแดดปะอยู่บนหน้าแล้วล่ะก็ ควรล้างหน้าด้วยขั้นตอนต่อไปนี้


ขั้นตอนแรกคือการลบพวกเมกอัพถาวรออกไปก่อน
ด้วยการนำสำลีแผ่นชนิดรีดขอบชุบน้ำยากให้ชุ่มแล้วแปะไว้ที่บริเวณดวงตาและปาก 3-5 นาที

Q : ทำไม makeup remover หรือบางชื่อคือ eye & lip remover ถึงมีความสำคัญ?
A : ก็เพราะว่า ส่วนผสมของเครื่องสำอางบางตัว ไม่สามารถทำความสะอาดได้เพียงแค่ส่วนผสมของน้ำมันน่ะสิ....การใช้ makeup remover ทำให้ขนตาไม่ร่วง ไม่หัก แล้วก็ช่วยถนอมผิวบริเวณรอบดวงตาไม่ให้ถูกเช็ดถูอย่างแรง จากการพยายามเยื้อมาสคาร่าออกจากขนตา.......ส่วนการใช้ makeup remover แปะที่ริมฝีปากในกรณีที่ทาลิปสีเข้มๆ ก็เพื่อ ช่วยให้เม็ดสีพิกเม้นท์ไม่ตกค้างที่บริเวณปากซึ่งจะมีผลทำให้ริมฝีปากคล้ำนั่นเองจ้า
สุขภาพและความงาม
ขั้นตอนที่ 2 จะเป็นการทำความสะอาดเครื่องสำอางประเภทครีม แป้ง และสิ่งตกค้างที่อาจอุดตันรูขุมขนซึ่งเป็นบ่อเกิดของสิว ขั้นตอนนี้จะใช้ makeoff ประเภท cleasing balm / cleasing oil / cleasing milk แล้วแต่สภาพผิวและความชอบ นวดวนประมาณ 5-15 นาที ให้ไขมันจาก cleasing แตกตัวไปดึงให้สิ่งสกปรกลอยขึ้นมาจากผิว ถ้าเป็น cleansing oil บางยี่ห้อ จะใช้น้ำหยดลงไปให้ oil กลายเป็นสีน้ำนมแล้วนวด จะช่วยให้พวก makeup ออกง่ายขึ้นค่ะ ซึ่งการนวดในขั้นตอนนี้อย่างต่อเนื่องสามารถช่วยลดสิวในกรณีสิวเสี้ยนบึ้ม ได้อีกด้วยจ้า....... ขั้นตอนที่ 2 นี้ต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาดเยอะๆ ค่ะ **การใช้ Cleansing Milk ให้นวดจากครีมสีขาวๆ ให้แตกตัวกลายเป็นน้ำมันใสๆ ก่อนอ่ะ เพราะสาวๆ ส่วนใหญ่ไม่นวดถึงจุดนั้น แล้วเช็ด หรือ ล้างหน้าต่อเลย ทำให้เครืองสำอางยังตกค้าง ไม่สะอาด อาจเป็นที่มาของการเป็นสิวอุดตัน จากนั้นก็ให้เช็ดด้วยกระดาษเช็ดหน้า หรือ เช็ดออกด้วยสำลี สปองชีท หรือ ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่น แล้วค่อยล้างด้วยโฟมจ้า

สุดท้ายคือการล้างทำความสะอาดทั่วไป เพื่อเพิ่มความสดชื่น และล้างคราบไขมันจากขั้นตอนที่ 2 ออก ในขั้นตอนนี้สามารถใช้ล้างเดี่ยวๆ ได้ในกรณีที่อยากล้างหน้าระหว่างวัน ร้อน ล้างคราบเหงื่อเท่านั้นค่ะ.... อุปกรณ์ที่ใช้สามารถพบเจอได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันคือ สบู่ล้างหน้า ทั้งชนิดก้อน สบู่เหลว โฟม และเจล ก็เลือกกันไปตามสภาพผิวและความถนัด.... เสร็จแล้วล้างน้ำเปล่าเยอะๆ ก่อนจบด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน ถ้าใครชอบโทนเนอร์ก็สามารถใช้ต่อจากขั้นตอนนี้เพื่อเตรียมผิวสู่ขั้นตอนดูแล ผิวต่อไปได้เลยค่ะ :)

ขอบคุณ Jeban.com สำหรับข้อมูลการล้างหน้าอย่างถูกวิธี 

6 อาหารช่วยเผาผลาญไขมัน



        สาว ๆ ที่ชื่นชอบการรับประทาน แต่ก็กลัวความอ้วนถามหามีอาหารอยู่ 6 ชนิด ที่ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย

   กาแฟ

       คาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นเอ็นไซม์ ซึ่งมีหน้าที่เผาพลาญไขมัน ดังนั้นจึงควรจะดื่มกาแฟเป็นประจำ แต่ไม่ควรดื่มมาก แค่มื้อเช้าหนึ่งแก้ว หลังอาหารเที่ยงดื่มอีกหนึ่งแก้วก็พอแล้วค่ะ

   ชาเขียว
สุขภาพและความงาม
        มีการยืนยันว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจำ ในปริมาณวันละ 4 แก้ว สามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ และดีต่อสุขภาพ

   สาหร่าย และชาสาหร่าย

       ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับกรดแอสพาราจีน คือขับน้ำและของเสียออกจากร่างกาย ส่วนการเผาผลาญไขมันนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าสามารถเผาผลาญได้จริงหรือไม่

   ไวน์แดง

       หากดื่มในปริมาณน้อย สารบางอย่างในไวน์แดงก็อาจจะช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันได้บ้าง แต่ก็ไม่ควร ดื่มมากเกินไป เพราะไวน์แค่ครึ่งแก้วสามารถให้พลังงานได้ถึง 72 แคลอรี

   หน่อไม้ฝรั่ง

       กรดแอสพาราจีนในหน่อไม้ช่วยทำให้ผอมได้ แต่กรดเหล่านี้เพียงช่วยขับน้ำออกมาเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาพลาญไขมันแต่อย่างใด

   พริก

       ในพริกมีสารรสเผ็ดร้อนที่ชื่อแคปไซซิน ช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกาย สามารถช่วยเผาผลาญไขมัน ฉะนั้นใครที่ชอบกินเผ็ด ก็เหยาะพริกป่นลงไปหน่อย หรือรับประทานพริกสดที่ซอยบาง ๆ ร่วมกับอาหารอื่น ๆ ด้วยก็ดีค่ะ

ที่มา .... Woman's Story

ลดความอ้วนด้วยสีอาหาร


สุขภาพและความงาม
 
        การนับแคลอรีอาจเป็นวิธีการลดน้ำหนักหลายคนนิยมใช้ แต่การนับแคลอรีอย่างเข้มงวด ก็ไม่ง่ายนักทั้งยังทำให้เกิดความเครียดด้วย จนอาจทำให้คุณถอดใจจากการลดน้ำหนักก่อนจะประสบผลสำเร็จ ผู้เชี่ยวชาญจึงได้แนะนำวิธีใหม่ ๆ ที่จะทำให้คุณสามารถควบคุมแคลอรีได้อย่างง่าย ๆ และยังได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนและสมดุลอีกด้วย นั่นก็คือ หันมานับจำนวนของสีสันจากอาหารที่จะเติมลงในจานอาหารของคุณแทน

        สีสันไม่เพียงแต่จะทำให้อารมณ์คุณแจ่มใสขึ้นเท่านั้น แต่สีสันอันหลากหลายจากอาหารยังทำให้การกินของคุณสดใสขึ้นด้วย เนื่องจากอาหารที่มีสีสันอันหลากหลาย มักเป็นอาหารผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหาร และสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลแก่สุขภาพและยังช่วยต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ รวมทั้งโรคมะเร็งได้ด้วย นอกจากประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว การเลือกกินอาหารตามสีสันยังมีผลโดยตรงต่อการลดน้ำหนักด้วย เพราะอาหารผักและผลไม้เป็นอาหารที่มีแคลอรีต่ำอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เมื่อคุณเน้นการบริโภคอาหารหลากสีสัน คุณจึงควบคุมแคลอรีที่บริโภคเข้าไปในตัวโดยไม่ต้องมานั่งนับจำนวนแคลอรีอีก ต่อไป
        กฎสำคัญ คือ กิน อาหารที่มีสีเบจและสีน้ำตาลให้น้อย ๆ อาหารในกลุ่มนี้ได้แก่ ขนมปัง พาสต้า เมล็ดถั่ว อาหารจากแป้งทั้งหลาย ถ้าเติมสิ่งเหล่านี้ลงในจานมากเกินไป ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะอาหารเหล่านี้มักมีแคลอรี สูง และทำให้หิวได้ เช่น พาสต้าถ้วยหนึ่งมี 200 แคลอรี ขณะที่ผักสีแดงหรือสีเขียวหนึ่งถ้วย มีแคลอรีไม่ถึงหนึ่งร้อย
        จากหนังสือเรื่อง What Color is Your Diet? ของนพ.เดวิด เฮเบอร์ พบว่า หัวใจสำคัญในการบริโภคอาหารหลากสีสันก็คือ เลือกอาหารจากแต่ละกลุ่มที่ต่างกัน

     กลุ่มสีเขียวเข้ม เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง จะช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ ในการผลิตแอนไซม์ช่วยสลายสารเคมีที่ทำให้เกิดมะเร็งในร่างกาย

     กลุ่มสีเหลือง/เขียว เช่น พืชตระฉันลถั่วสีเขียว (ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา) อะโวคาโด แตงเมลอนสีเขียว จะช่วยรักษาสุขภาพตา

     กลุ่มสีเหลือง/ส้ม เช่น แครอท มะม่วง แอปริคอต ฟักทอง มีแคโรตินอยด์ ที่ช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวาย

     กลุ่มสีขาว เช่น กล้วย กะหล่ำดอก กระเทียม ขิง เห็ด มีประโยชน์อย่างมากในการรักษาสุขภาพหัวใจ

     กลุ่มสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม เป็นอาหารที่อุดมด้วยไลโคปีน ซึ่งช่วยในการลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และโรคหลอดเลือดหัวใจ

     กลุ่มสีแดง/ม่วง เช่น องุ่น ลูกพรุน แครนเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ และแอปเปิ้ลแดง จะมีแอนโธไซอานินส์ ที่มีผลดีต่อโรคหัวใจด้วยการหยุดยั้งการเกิดลิ่มเลือด

     กลุ่มสีม่วง/น้ำเงิน เช่น บลูเบอร์รี่ มะเขือม่วง ลูกพลัม ลูกเกด มีสารเคมีที่ดีต่อสุขภาพ เช่นแอนโธไซอานินส์ (Anthocyanins) และฟีโนลิกส์ (Phenolics) ช่วยทำให้ความทรงจำดีขึ้น

        ฉะนั้น เติมสีเขียว สีแดง และสีเหลืองอันแสนสดใสให้แก่มื้ออาหารของคุณ คุณจะทำให้ตัวเองได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น ขณะที่แคลอรีลดต่ำลง ยิ่งไปกว่านั้นคุณจะรื่นรมย์มากขึ้นจากการกิน เมื่อมีสีสันและรสชาติที่หลากหลายอยู่บนจานของคุณ
ที่มา ... lisa / women.thaiza.com

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

Diet ง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น

  สาวญี่ปุ่นมีเคล็ดลับอย่างไรในการรักษาทรวดทรงองค์เอว คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหาร ของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง







เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่นนอกจากจะคงความโนะเนะ น่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่ง เข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคงทรวดทรงงดงาม อ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจ ยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเล เหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไร ในการรักษาทรวดทรงองค์เอว ให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่น ตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหาร ของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย


- เริ่มจากการเลือกถ้วยชามชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับ ประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนวเอิร์ธโทนอย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

- นอกจากนั้น ถ้วยชามที่ใช้ควรมีขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด

- การใช้ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้ คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง

- การกินอาหารหลากหลายประเภทพร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอด เวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อ มากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน

กระชับเรือนกาย สลายไขมัน

ไขมันหน้าท้องน่ะ ลดไม่ยากหรอก แต่ต้องออกแรงบริหารกันหน่อยค่ะ เรามี ท่าบริหารง่าย ๆ ใช้เวลาวันละ 15 นาที

จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงขึ้นค่ะ แต่อย่าลืมควบคุมอาหาร ด้วยการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง และดื่มน้ำมาก ๆ ด้วยนะคะ จะได้เลิกไว้พุงกันเสียทีไงค่ะ

ท่าบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนบน
1. นอนราบลงบนพื้น งอเข่าขึ้น วางเท้าราบกับพื้นโดยให้เท้าห่างกันประมาณ 1 ฟุต หรือให้อยู่แนวเดียวกับสะโพก ส่วนแขนวางไว้ข้างลำตัว




2. หายใจเข้าพร้อมกับยกศีรษะและไหล่ขึ้น เหยียดแขนตึงเลื่อนมือขึ้นให้ปลายนิ้วแตะกับหัวเข่า



3. ลดศีรษะและไหล่กลับลงสู่ท่าเริ่มต้นพร้อมกับหายใจออก ถ้าคุณเพิ่งเริ่มหัดทำ ควรทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง จากนั้นให้ค่อยๆเพิ่มจำนวนครั้งเป็น 15 ครั้งค่ะ



ขอขอบคุณ pooyingnaka.com

แก้ไข โยโย เอฟเฟค

คนที่ทานยาลดความอ้วน หรือ กินอาหารที่มีแคลอรีต่ำๆ ตอนแรกๆ ก็ผอมลง รู้สึกดีอกดีใจใหญ่




ตูผอมแล้วเฟ้ย แต่ต่อมาไม่นาน สวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า ก็พลันพังทลาย หลังจากที่หยุดกินยา หรือ กลับมาทานปกติ ปรากฏว่า อ้วนเอา อ้วนเอา จนกลับมาอ้วนกว่าเก่า เรียกว่าเจอฤทธิ์เดช ของเจ้า โยโย แอฟเฟคเข้าแล้ว (จากสถิติ พบว่า 95% ที่ลดน้ำหนักลงได้ จะกลับมามีน้ำหนักเหมือนเดิมหรือมากกว่า ภายในระยะเวลา 3 ปี)

ที่นี้ พอจะหันมาลดความอ้วนใหม่ คราวนี้แหละ ยากมากๆ แต่ก่อนลดเร็วปรู๊ดปราด ตอนนี้กว่าจะลดขีด ลดกิโลละก็ เลือดตาแทบกระเด็น ถึงแม้จะออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดก็ตาม จนหลายคนหมดความอดทนกลับไปกินยา หรือ กินอาหารแคลอรีต่ำๆอีก กลายเป็นวัฏฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิด อ้วนแล้วผอม ผอมแล้วอ้วน อยู่อย่างนี้ คนที่อ้วนๆผอมๆอยู่ตลอดเวลานี้น่ากลัวมากนะครับ ถึงขนาดที่ว่า หากเป็นอย่างนี้ อย่าลดเลยดีกว่า

มีผลการศึกษาวิจัย ของ ดร. คอลิเนีย อูริช จาก Fred Hutchinson Cancer Research Center ซึ่งร่วมมือกับทาง University of Washington ตีพิมพ์ผลในวารสารทางการแพทย์ Journal of the American Dietetic Association พบว่า โยโย แอฟเฟค มีผลในทางลบกับ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย คือ มันจะทำให้ ความสามารถในการถล่มกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายลดน้อยลง เมื่อเทียบกับ คนที่มีน้ำหนักคงที่ ไม่ค่อยลด หรือ เพิ่ม พูดง่ายๆว่า คนที่เกิดอาการ โยโย แอฟเฟคนี้ โอกาสที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บก็จะง่ายกว่า คนที่น้ำหนักคงที่ เห็นอย่างนี้ คนอ้วนหลายคนบอกว่า อย่างนี้ไม่ลดดีกว่า

เดี่ยวก่อนท่านทั้งหลาย อย่าพึ่งด่วนสรุปเร็วจี๋ขนาดนั้น คนที่อ้วนก็ควรจะต้องลดกันต่อไป แต่ต้องรู้ว่า อย่าให้น้ำหนักมันกลับคืนมาอ้วนอีกโดยการออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร ตามแนวทางที่หนังสือเล่มที่คุณถืออยู่นี้บอกเอาไว้นั่นนะสิ ดร. อูริช ยังเห็นด้วย โดยบอกว่า การออกกำลังกายนี้จะช่วยลดผลร้ายที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ที่เกิดจากการที่มีน้ำหนักที่ลดลง และทำให้น้ำหนักตัวคงที่ด้วย ก็ขอเตือนคนที่คิดจะลดโดยการกินยาลดความอ้วนอีกที ว่าคุณจะเอาสุขวันนี้ แล้วมานั่งทุกข์ในวันข้างหน้าหรือครับ

สำหรับคนที่เจอ โยโย แอฟเฟค เข้าแล้ว สิ่งที่ต้องจำไว้ให้ดี คือ อย่าหวนคืนไปผิดเป็นครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่ ทางที่ถูกคือ หันมากินแบบเพื่อสุขภาพ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่า ร่างกายจะต้องใช้เวลาปรับตัวจาก โยโย แอฟเฟค บ้าง แต่ให้ใจเย็นๆ ทานให้ครบทุกมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แล้วจะดีเอง จำไว้ว่า เมื่อเกิดโยโย แอฟเฟค อย่าพยายามลดครั้งใหม่โดยการกินอาหารแคลอรีต่ำๆ อีก

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites